การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ผล และเป็นจริง “เพื่อไทย” จะดำเนินการอะไร ก่อน หลัง ระหว่าง” คลองไทย,แลนด์บริดจ์,” และ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ”
แม้ว่า”ประเทศไทย” จะมี “รัฐบาลใหม่” เข้ามาบริหารประเทศแล้วกว่า 1 เดือน ก็จริงอยู่ แต่หลังจากเข้ามาบริหารประเทศของ”เศรษฐา ทวีสิน” ก็เกิดอาการ”พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” เพราะหลังจากที่มีการเข็นโยบาย”ฟรีวีซ่า” เพื่อเป็นการเอาใจ นักท่องเที่ยวจาก”ประเทศจีน” ก็มีเหตุการณ์”กราดยิง” โดย”มือปืน” ที่เป็นเด็กอายุ 14 ปีที่”ห้างพารากอน” ทำให้ นักท่องเที่ยวจีน และชาวเมียนมาเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บหลายคน เป็นเหตุให้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีน”วูบ” ลงในทันที
และหลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์สงครามระหว่าง “อิสราเอล” กับ”กลุ่มก่อการร้าย”ฮามาส”ที่อยู่ใน “ปาเลสไตน์” ที่ส่งผลกระทบกับ”แรงงาน”ไทยที่เดินทางไปทำงานใน “อิสราเอล” กว่า 30,000 คน และ หลายพันคนเป็นคนงานในเขต”ฉนวนกาซา” ที่เป็นพื้นที่การทำสงคราม ทำให้ แรงงานไทย มีทั้งเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกจับเป็น”ตัวประกัน” จำนวนที่มากกว่า ประชากร ของทุกประเทศ ที่ทำงานอยู่ใน”อิสราเอล”
เรื่อง แรงงานไทย ใน “อิสราเอล” จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ กลายเป็น “ขวากหนาม” หรือ”กับดัก”รัฐบาล”โดย นายกรัฐมนตรี”เศรษฐา ทวีสิน” ต้องทิ้งทุกเรื่อง เพื่อทำการ”ขับเคลื่อน” ในการ แก้ปัญหาแรงงานไทย ในการ”อพยพ” กลับประเทศโดยเร็ว และทั้ง 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ทำให้การ”เดินเร็ว” ในเรื่องการ”ฟื้นเศรษฐกิจ” ของ”เศรษฐา ทวีสิน” เกิดอาการ”ชะงักงัน” อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ “เศรษฐา ทวีสิน” ทำการ”เดินเร็ว” ด้วยการไปเยือนประเทศต่างๆ เช่น”มหาอำนาจ” อย่าง สหรัฐอเมริกา, เพื่อนบ้านอย่าง”กัมพูชา” เขตเศรษฐกิจอย่าง”ฮ่องกง,สิงคโปร์ บูรไน ,มาเลเซีย” เพื่อ”ขับเคลื่อน”นโยบายเศรษฐกิจ โดยที่”นายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่เป็น”เซลล์แมน”ในการขาย”ไอเดีย” และ”ชวนเชิญ” ให้ นักลงทุน จากประเทศเหล่านั้น มาลงทุนในประเทศไทย
ในขณะที่นโยบายเงินดิจิตัล 10,000 บาท ที่เป็นนโยบายที่ “เพื่อไทย” ใช้ในการ”หาเสียง” ในการเลือกตั้ง ซึ่ง”เพื่อไทย” มีการ”ผลักดัน”อย่างเต็มที่ โดย เชื่อมั่นว่า นโยบายเงินดิจิตัล 10,000 บาท ที่จะ”ยัดใส่มือ” คนไทยที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป จะ”กระตุ้นเศรษฐกิจ” เพื่อให้เกิดการ”หมุนเวียน”ของ”ตะกร้าเงิน” ทั้งประเทศและ จะเป็น”ยาขนานเอก” ในการ”ฟื้นคืนเศรษฐกิจ” ของประเทศ ก็ถูก”ต่อต้าน” จากผู้ที่”เห็นต่าง” ทั้งจาก “นักวิชาการ” อดีตผู้ว่าการธนาคารชาติ และ ใครต่อใคร ที่เป็น”กูรู” ทางการเงิน การคลัง และเชี่ยวชาญเรื่อง”เศรษฐกิจ” เพราะเกรงว่า จะเป็นการ”เพิ่มภาระหนี้สิน” ที่อาจจะนำประเทศไปสู่ความเสียหายครั้งใหญ่
และ แม้ว่า อย่างไรเสีย”เพื่อไทย” และ”เศรษฐา ทวีสิน” ประกาศชัดว่า เรื่องเงินดิจิตัล” จะไม่มีการ”ถอยหลัง” อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมีเสียง”คัดค้านเซ็งแซ่” แค่ไหน เพราะ”เพื่อ ไทย” มั่นใจว่าการแจกเงิน 10,000 บาท พร้อมทั้งการ”ขีดวง”ให้ใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวภายใน 6 เดือน เป็น นโยบายที่ถูกต้องแล้ว และเป็นเรื่อง “เร่งด่วน” ที่จะได้เห็นการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ อย่างเต็มรูปแบบในปี 2567 อย่างแน่นอน
กลับมาดูในส่วนของ”ภาคใต้” ที่นโยบาย”ฟรีวีซ่า” กำลังจะเริ่มต้นไปด้วยดี เพราะ”ภาคใต้” โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนบน เป็น เมืองท่องเที่ยว ที่หลังจากเปิด”ฟรีวีซ่า” การ ท่องเที่ยว ก็คึกคัก แต่หลังเหตุ”กราดยิง” เกิดขึ้น ก็ได้รับผลกระทบในทันที่เช่นกัน และหลังเกิด สงคราม “อิสราเอล-ฮามาส” ก็ เชื่อได้ว่า สถานการณ์ของการท่องเที่ยว ได้รับผลประทบด้วย เนื่องจากความกังวลในความปลอดภัย และต้นทุนของกิจการท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้นจากเรื่องของ”น้ำมัน” ที่ราคา”ผันผวน” ตาม สภาวะของสงคราม
ภาคใต้นอกจากเรื่องการท่องเที่ยว ที่สร้าง”เม็ดเงิน” สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับคนในพื้นที่แล้ว ในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถที่”ผลักดัน” โครงการใหญ่ๆทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่เรียกว่า”เมกกะโปรเจกส์” ได้เลยแม้แต่โครงการเดียว โดยเฉพาะเรื่องของ”เซ้าท์เทิร์นซีบอร์ด” ที่เป็นการคาดหวังว่าจะเป็น”เมกกะโปรเจ็สก์” ที่จะ พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เพราะทุกโครงการที่เป็นการ พัฒนา ภาคใต้ จะถูกต่อต้านโดย องค์กรพัฒนาเอกชน หรือ” เอ็นจีโอ” เช่นการ”ขุดคลองไทย” ที่มีการ”ขับเคลื่อน” จาก นักการเมือง นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และ นักลงทุน ทั้งจาก”ต่างประเทศ และในประเทศ ที่มีการ “ขับเคลื่อน”กันมาเกือบ 10 ปี ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะถูกต่อต้านโดย”เอ็นจีโอ”
โครงการ เมืองต้นแบบที่ 4 หรือ “นิคมอุสาหกรรมจะนะ” ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ที่นำเสนอโดย ศอ.บต. และ”รัฐบาล” มีมติเห็นชอบ ก็ยัง”คาราคาซัง” ไปไม่ถึงฝั่ง เพราะถูก”เอ็นจีโอ” ขัดขวาง ทุกวิถีทาง ตั้งแต่”ล้มเวทีรับฟังความคิดเห็น”จนถึง” “ปิดทางเข้าทำเนียบ” จนรัฐบาล”ลุงตู่” ต้องให้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้ นับหนึ่งใหม่ ตั้งแต่ เปิดเวที รับฟังความคิดเห็น จนถึงเรื่องของกฎหมาย สิ่งแวดล้อม เป็นความ”สูญเปล่า” ที่ผ่านมาแล้ว 5 ปี แต่ ยังไม่มีความคืบหน้า ว่าสุดท้ายแล้ว “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” จะได้แจ้งเกิดหรือไม่
และสุดท้ายโครงการ”แลนด์บริดจ์” ที่เป็น”เมกกะโปรเจกส์” ที่ ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ซึ่งต้องใช้งบประมาณ หนึ่งล้านล้าน เชื่อม ทะเลอันดามัน จ.ระนอง กับทะเลฝั่งอ่าวไทย จ.ชุมพร ที่มีระยะทาง 90 กว่า กิโลเมตร เป็นการก่อสร้าง”สะพานบก” ที่ไม่ต้องมีการ”ขุดคลอง” ตัดแผ่นดิน เพื่อเชื่อมฝั่งทะเลของ 2 ด้าน อย่างโครงการ”คลองไทย” ที่ต้องขุดคลองเพื่อ”ผ่าแผ่นดิน” ออกจากกัน
แต่ “แลนด์ปริดจ์” ก็ถูกต่อต้าน โดย “เอ็นจีโอ” ตั้งแต่วันแรกที่”สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ประกาศว่าจะ เดินหน้า ผลักดัน โครงการ”แลนด์บริดจ์” เพื่อการ พัฒนาภาคใต้ และสำหรับโครงการนี้ ก็ไม่ง่ายทั้งในแง่ของการ “ต่อต้าน” จาก”มวลชน” ที่อยู่กับฝ่ายของ “ เอ็นจีโอ” และในเรื่องของการหา”กลุ่มทุน”จาก ต่างประเทศ เข้ามาร่วมทุน เพราะเงินทุน “หนึ่งล้านล้านบาท” เป็นเม็ดเงินที่มหาศาลมาก รวมทั้งยังต้องมีการศึกษาโครงการมากมาย ทั้งเรื่อง ผลกระทบ ต่างๆ และเรื่อง การคุ้มทุน จาก กลุ่มทุน
แต่ ไม่ว่าอย่างไร ในการพัฒนาภาคใต้ จะต้องมี เมกกะโปรเจกส์ หรือการลงทุนขนาดใหญ่เกิดขึ้น หากรัฐบาลต้องการ ภาคใต้ ได้รับการพัฒนา เพราะลำพัง การท่องเที่ยว อย่างเดียว ยังไม่เพียงพอกับการ สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่าง ที่ไม่มีท่าเรือน้ำลึก ที่ใช้ในการ ขนส่งสินค้าได้จริง ทำให้การขนส่งสินค้า ยังต้องเดินทางโดยรถบรรทุก เพื่อขนตู้คอนเทนเนอร์ ไปยังท่าเรือปีนัง ประเทศมาเลเซีย ที่เป็นเช่นนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นการเพิ่มต้นทุน ที่ทำให้ แข่งขันไม่ได้ และไม่จูงใจให้ กลุ่มทุน มาลงทุนในภาคใต้
ดังนั้น ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องของการขุดคลองไทย หรือก่อนที่โครงการ”แลนด์บริดจ์” จะเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่า ระหว่าเกิด กับ ไม่เกิด ยัง ห้าสิบๆ และหากเกิดจริงก็ใช้เวลาเกือบ 10 ปี เป็นอย่างน้อย และ”แลนด์บริดจ์” ก็อาจจะไม่ได้เอื้อต่อการพัฒนาของภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เป็นได้
ดังนั้น ครม.ฝ่าย เศรษฐกิจ ของ”เพื่อไทย” และของ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จึงต้อง พิจารณา โครงการเมืองต้นแบบที่ 4 หรือ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ให้เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง สำหรับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ภาคใต้ตอนล่าง เพราะเป็น โครงการที่หากผ่านเรื่อง”กฎหมายสิ่งแวดล้อม” ก็สามารถ”ขับเคลื่อน”ได้ทันที เพราะเป็นโครงการที่ลงทุนโดย “เอกชน” ทั้งหมด รัฐเพื่อแต่ลงทุนในเรื่อง “สาธารณูประโยชน์” เท่านั้น
รวมทั้ง ถ้าดูจำนวนผู้ที่ กลัวว่าจะได้รับผลกระทบ ก็มีเพียง”ประม งพื้นบ้าน”จำนวนไม่มากนัก ซึ่งหากมีอาชีพที่ดีกว่ารองรับ หรือหากเกิดผลกระทบจากโครงการ และมี แผนการเยียวยาที่พอใจก็น่าจะทำความเข้าใจกันได้ และโครงการนี้ ถ้า รัฐบาล เร่งในการผลักดัน ก็จะเป็นการ พัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือภาคในตอนล่าง ที่ได้ผลในการพัฒนา เพราะเป็น โครงการที่ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” และคณะกรรมการยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กพต.) ได้มีการศึกษาถึง ผลดี ผลเสีย ครบถ้วนแล้ว นั่นเอง
และ โครงการ”นิคมอุตสาหกรรม” จะนะ จะเป็นโครงการที่สำเร็จได้รวดเร็วกว่า”แลนดฺบริดจ์” และไม่เป็นเพียง”ความฝัน” อย่างเรื่องของ”คลองไทย” อย่างแน่นอน
นายปรีชา สถิตเรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา