ผลกระทบจากราคาน้ำมันสูง ปุ๋ยเคมีแพง ค่าจ้างทำนาเพิ่มวันละ 350-400 บาท ส่งผลให้ชาวนาในจังหวัดกาฬสินธุ์หลายราย ต้องจำใจปล่อยพื้นที่นาร้าง ไม่กล้าลงทุนทำนาให้เสี่ยงกับภาวะขาดทุน ส่วนที่ทนทำนาต่อไปก็หันมาใช้ปุ๋ยคอกแทนปุ๋ยเคมีเพื่อลดทุน
วันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการทำนาปี ของชาวนา ใน จ.กาฬสินธุ์ ทั้งพื้นที่ใช้น้ำชลประทาน และนอกเขตชลประทานที่อาศัยน้ำฝนในการทำนา พบว่าที่นาหลายแปลงถูกปล่อยทิ้งร้าง ส่วนที่ทำนาก็เป็นนาหว่าน หรืออาจจะพบเห็นว่ามีการทำนาโดยการปักดำก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมขัง จึงจำเป็นต้องถอนต้นกล้าที่โตแล้วและสูงกว่าระดับน้ำมาปักดำ
นายพิสิทธิ์ บัณฑิตเสน อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 287 ถนนโสมพะมิตร เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งมีพื้นที่นาอยู่ริมคลองชลประทาน บ้านดงเมือง หมู่ 10 ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนมีพื้นที่ทำนา 30 ไร่ เนื่องจากปีนี้ต้นทุนทำนาสูงมาก ทั้งค่ารถไถนา ค่าแรงดำนาวันละ 350-400 บาท หรือค้าจ้างถอนกล้ามาปักดำมัดละ 5 บาท จึงลดพื้นที่นำนาลงกว่าครึ่งหนึ่ง โดยทำคอกเลี้ยงแพะและปลูกไม้ผล ส่วนปุ๋ยที่ใช้บำรุงต้นข้าวก็ใช้ปุ๋ยคอกคือมูลแพะที่เลี้ยงไว้ประมาณ 100 ตัว เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่ราคาแพงกระสอบละ 1,500 บาท ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนทำนา
นายพิสิทธิ์กล่าวอีกว่า จากภาวะราคาน้ำมันสูง ปุ๋ยเคมีตามท้องตลาดแพง ค่าแรงทำนาเพิ่มวันละ 350-400 บาท รวมทั้งค่าจ้างถอนกล้าแพงดังกล่าว จึงพบว่าเพื่อนชาวนาหลายรายลดพื้นที่ทำนาลง ส่วนที่ทำก็ทำแบบพอได้ผลผลิตข้าวเปลือกรับประทานในครัวเรือน จะทำเพื่อหวังนำผลผลิตไปขายไม่ได้แล้ว เพราะต้นทุนสูงมาก เฉลี่ยไร่ละ 3,000 บาท ขณะที่ราคาขายข้าวเปลือกตกต่ำ สำหรับตนจะเลิกอาชีพทำนาก็ไม่ได้ เพราะเป็นอาชีพดั้งเดิมที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงทำนาแบบพอเพียง และเพื่อให้มีข้าวกินเท่านั้น