นิพนธ์ นั่งหัวโต๊ะ เชิญทุกฝ่ายแก้ปัญหาที่ดิน “โคกไร่”กว่า 4,600 ไร่ ทำอย่างไรให้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังมีข้อพิพาทยืดเยื้อมายาวนานร่วม 50 ปี

นิพนธ์ นั่งหัวโต๊ะ เชิญทุกฝ่ายแก้ปัญหาที่ดิน “โคกไร่”กว่า 4,600 ไร่ ทำอย่างไรให้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังมีข้อพิพาทยืดเยื้อมายาวนานร่วม 50 ปี

เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้(30 เม.ย.65) ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายโสภณ ทองดีอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายวรณัฐ หนูรอด รองผวจ.สงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเพื่อหาทางออกกรณีปัญหาพิพาทเรื่องที่ดินแปลงโคกไร่ ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวนกว่า 4,600 ไร่ที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานกว่า 7 ปี

สืบเนื่องจากที่ดินดังกล่าวนั้นเป็นที่ดินซึ่งมีพระราชกฤษฎีกา เมื่อ พ.ศ.2518 เพื่อถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และมีการเพิกถอนโฉนด น.ส.3 น.ส.3 ก. และเอกสารสิทธิต่างๆ ในที่ดินแปลงดังกล่าวนำที่ดินมาจัดสรรโดยมีเนื้อที่ประมาณ 4,625 ไร่

นายนิพนธ์ บุญญามณี เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงโคกไร่มีประวัติศาตร์การพิพาทมาอย่างยาวนานมาก เริ่มตั้งแต่ประกาศให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณะพ.ศ.2487 และนำมาสู่ขั้นตอนเพิกถอนที่สาธารณะและนำไปสู่การจัดสรรให้กับพี่น้องที่มีอาชีพประมงการดักโพงพางในทะเลสาบสงขลาจัดสรรเป็นที่ทำกินให้ต่อมาก็มีปัญหาไม่สามารถที่จะบริหารจัดการได้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ วันนี้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยท่านอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มาร่วมประชุมหาทางออกร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมที่ดิน กรมธนารักษ์ เป็นต้น มาประชุมหารือกันเพื่อหาทางแก้ไข เพื่อให้พื้นที่ 4 พันกว่าไร่นี้ ได้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

สิ่งสำคัญคือเมื่อปีพ.ศ.2530 กรมทรัพยากรชายฝั่งทางทะเลได้ประกาศเขตนี้ให้เป็ตเขตป่าชายเลนทำให้ปัญหานี้ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น วันนี้ข้อสรุปทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าให้นำโครงการ คทช.มาปรับใช้ เนื่องจากปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนทั้งหมดแล้ว ส่วนที่เป็นสภาพป่าชายเลนนั้นยังมีบ้างเล็กน้อยที่ปรากฏริมน้ำริมทะเล และในส่วนนี้จะทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่อาศัยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ตลอดจนหน่วยงานต่างๆก็สามารถที่จะจัดงบประมาณเข้าไปพัฒนาพื้นที่ได้และไม่ต้องหวาดระแวงว่าเมื่อไหร่เจ้าหน้าที่จะมาจับกุมหรือฟ้องร้อง”

ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการดำเนินการสำรวจรังวัดที่ดินที่อยู่อาศัยทำกินให้ถูกต้อง พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งกระบวนการทำประชาคมรับฟังความคิดเห็น และการลงพื้นที่สร้างความเข้าใจในพื้นที่ ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากนี้ก็จะเห็นความชัดเจนของการแก้ไขปัญหายืดเยื้อมากขึ้นตามลำดับ

////

Related posts