“เฉลิมชัย”มั่นใจประชาธิปัตย์ได้ส.ส.เพิ่ม ย้ำปชป.ยุคนี้เปิดกว้างไม่ใจแคบให้โอกาสทุกคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในการสัมมนา ส.ส. กรรมการบริหารพรรค และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จังหวัดเชียงใหม่ว่า

 

การสัมมนาครั้งนี้เป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติที่พรรคจัดสัมมนาสัญจรในต่างจังหวัดช่วงปิดสมัยประชุม เพื่อให้ ส.ส. กรรมการบริหารพรรค และรัฐมนตรีได้มีโอกาสพูดคุยกัน ซึ่งการจัดสัมมนาแต่ละครั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในพรรคที่ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เราจะได้มีช่วงเวลาหลังจากได้ทำงานแล้วมาพูดคุย ให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้พรรคเดินไปข้างหน้า

ซึ่งจากจำนวน ส.ส. 51 คนที่เรามี แม้จะไม่มาก แต่พลังที่จะมีมากหรือน้อยไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่อยู่ที่การกระทำของเราทั้งหมด เราจะทำให้มีพลังก็ได้ จะทำให้เบาอ่อนแรงเลยก็ได้ ตนจึงเรียกร้องทุกคนว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน ขอให้ทุกคนมาช่วยกันสร้างพรรค มาช่วยกันพาประชาธิปัตย์เดินไปข้างหน้า

“วันนี้ถึงเราจะมี ส.ส.ไม่มาก เราต้องช่วยกัน สิ่งที่จะทำให้ประชาธิปัตย์เดินไปข้างหน้า สิ่งที่จะทำให้ประชาธิปัตย์กลับคืนมาอีกครั้ง นั่นคือเราต้องเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้ได้ สร้างความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนให้ได้ และมีนโยบายที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ ซึ่งทั้งนโยบาย ชื่อเสียงพรรค อุดมการณ์พรรค ต้องตรงกับคนที่ใช่ด้วย ถึงจะนำไปสู่ชัยชนะได้” นายเฉลิมชัยกล่าว

พร้อมกับได้ให้คำมั่นกับ ส.ส. ประชาธิปัตย์ว่า ตนจะไม่มีวันปล่อยท่านสอบตกเด็ดขาด และมาช่วยกันสร้าง ส.ส. เพิ่ม เพราะตนเชื่อว่าเราจะกลับมาได้ จะกลับมาได้ด้วยพลัง และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกพรรค รวมทั้งการทุ่มเทการทำงาน การเสียสละ

“ผมพูดวันนี้คือสิ่งที่ผมพยายามปฏิบัติ ผมรู้ว่าทุกคนเหนื่อยในสภาวะอย่างนี้ ก็ได้พยายามให้กำลังใจ พยายามพูดคุย แม้จะทำได้ไม่ครบ 100% อาจจะทำได้ไม่ถูกใจ 100% แต่กรรมการบริหารพรรคชุดนี้ขึ้นมาเมื่อมีการเลือกตั้งเสร็จ และต้องรับผิดชอบพรรคที่จะพาไปสู่การเลือกตั้งในครั้งหน้า ผิดพลาดหรือสำเร็จไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธความรับผิดชอบ และคงไม่มีมนุษย์คนไหนที่อยากจะล้มเหลว ผมก็เช่นเดียวกัน เรามีพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมือง เรามีผู้ใหญ่ที่ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา เรามีสมาชิก มี ส.ส. ที่มีคุณภาพ นี่คือต้นทุนการเมืองที่ดีที่สุด แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดประโยชน์ เกิดประสิทธิภาพและเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างไรเท่านั้น” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

พร้อมกับเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจัยการเมืองปัจจุบันเปลี่ยนไปหลายอย่าง เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเมือง แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมการณ์และหลักการของพรรค ถ้าเราทิ้งหลักการและอุดมการณ์ของพรรค ก็หมดสิ้นความเป็นประชาธิปัตย์ แต่ถ้า 2 อย่างนี้ยังไม่พอ ก็ต้องหาสิ่งที่มาเสริมเพื่อให้พรรคเดินไปข้างหน้าได้ ตามสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต

“ผมขอให้กำลังใจ ส.ส. และผู้สมัครทุกท่าน ยังไม่มีการเลือกตั้ง อย่าไปกลัว มี 1 สมอง 2 มือ 2 ขา เหมือนกัน อย่าไปกลัว ถ้ากลัวตั้งแต่ยังไม่ทันเลือก กลัวตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่สงครามไม่มีวันเจอคำว่าชนะหรอก ผมมั่นใจว่าท่านหัวหน้า ท่านกรรมการบริหารพรรค ท่านประธานที่ปรึกษา พร้อมที่จะยืนเคียงข้างกับพวกเราทุกคน และ ณ วันนี้ ผมก็มั่นใจว่าประชาธิปัตย์ต้องได้ ส.ส. มากกว่าเดิม 100% ไม่ใช่แค่ขอรักษา ส.ส. เท่าที่มีอยู่ ผมยืนยันด้วยเกียรติ ด้วยศักดิ์ศรี และพร้อมจะรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นของประชาธิปัตย์ทั้งหมด”

ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ยังกล่าวถึง สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งทั้งสมาชิกพรรค อดีต ส.ส. อดีต ส.ก. และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ที่ดูแล กทม. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการเมืองใน กทม. มาเป็นปี จนวันนี้ได้ตัดสินใจส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. จึงขอให้พวกเราทำให้ดีที่สุด ช่วยให้มากที่สุด เมื่อรู้ 2 อย่างนี้ ก็ขอให้มาช่วยระดมใน กทม. ก่อน ซึ่งถือเป็นด่านแรก และจากการที่เราได้คะแนน ส.ส. กทม. ในการเลือกตั้งปี 62 มาประมาณ 4 แสนเศษ ดังนั้นเป้าหมายของเราก็ต้องทำให้ดีกว่าเดิม และดีที่สุดคือต้องชนะผู้ว่าฯ กทม. ถ้าเราไม่มีความหวัง ก็จะไม่มีกำลังที่จะไปเดินต่อ ดังนั้นทุกคนมีส่วนทั้งหมด คนที่อยู่ กทม. มีคนต่างจังหวัดมากมาย พวกเรามีพวก มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนฝูง ถ้าทุกคนระดมมาช่วย เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้

“ผมมั่นใจว่ากระแส ความรู้สึกของพี่น้องประชาชนกับพรรคเราดีขึ้น ไม่ได้มโน ไม่ได้คิดไปเอง แต่จากสิ่งที่พวกเราทุกคนได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นผลงานในสภา ผลงานที่ท่านชวนได้ทำ แม้กระทั่งผลงานที่คณะรัฐมนตรีที่เราได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาล ผมมั่นใจว่ากระแสเราดีขึ้น หมายถึงเรามีโอกาสมากขึ้น ถ้าเรามีโอกาสแล้วเราไม่คว้า มันก็เท่ากับศูนย์ เพราะฉะนั้นการจะคว้าโอกาสไม่ใช่ผมคว้า ไม่ใช่หัวหน้าคว้า ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งคว้า แต่ต้องพาไปทั้งพรรคไปคว้าโอกาสตรงนั้น ขอให้มาช่วยกัน ผมเต็มที่ทั้งชีวิตที่จะพาประชาธิปัตย์เดินไปข้างหน้า และจะยังเป็นคนที่รับฟังความคิดเห็น ความรู้สึกของสมาชิกพรรคเหมือนเดิม เพียงแต่ขอให้มีอะไรพูดคุยกันในพรรค ไม่มีใครที่จะได้ดั่งใจ 100% ไปทุกอย่างทุกคน ผมก็ไม่ได้ ไม่ใช่ผมเป็นเลขาพรรคแล้วจะได้ทุกอย่างได้ดั่งใจ แต่ผมรู้ว่าอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ผมเก็บไว้ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็พูด ถ้าเรารวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ไม่มีใครสู้ประชาธิปัตย์ได้หรอก ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น มันเป็นความรับผิดชอบที่ผมต้องรับผิดชอบ รับผิดชอบทุกเรื่องแม้กระทั่งผลการเลือกตั้งในรอบที่จะถึงนี้ ผมรับผิดชอบแค่ไหนก่อนการเลือกตั้ง ผมจะพูดชัดเจน จะเป็นความรับผิดชอบจริงๆ เลย แล้วเอาชีวิตไปวัดให้ นี่คือความรับผิดชอบของผม” เลขาธิการพรรคกล่าว

พร้อมกับยืนยันอีกด้วยว่า คณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้ให้โอกาสสมาชิกเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ได้เลือกข้าง ไม่ได้เอาพวกใครพวกมัน

“ผมยืนยันเลย ไม่มี แต่เราพยายามจะทำให้พรรคเดินไปข้างหน้า และเดินไปอย่างมั่นคง ไม่ใช่เดินอย่างไฟวูบเดียวแล้วจบ แต่ต้องเดินไปอย่างมั่นคง เพื่อให้ประชาธิปัตย์รุ่นถัดๆ ไปรับสิ่งที่ดี สิ่งที่แข็งแรงที่สุด แล้วพาประชาธิปัตย์เดินไปอีก จะกี่สิบปี กี่ร้อยปีไม่รู้ แต่เชื่อว่าจะอยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในที่สุด

Related posts