AIS Business ติดปีกอุตสาหกรรมหลัก เสริมขีดความสามารถด้วยโซลูชั่นส์ที่พร้อมใช้งานจริง ตอกย้ำภารกิจ Sustainable Nation สร้างไทยยั่งยืน เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

AIS Business ติดปีกอุตสาหกรรมหลัก เสริมขีดความสามารถด้วยโซลูชั่นส์ที่พร้อมใช้งานจริง ตอกย้ำภารกิจ Sustainable Nation สร้างไทยยั่งยืน เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

 

AIS Business สร้างปรากฎการณ์สะเทือนภาคอุตสาหกรรมไทย ด้วยการวิวัฒน์ครั้งใหม่ของ Intelligence Infrastructure เพิ่มขีดความโครงข่าย นวัตกรรม โซลูชั่นส์ และ Enterprise Platform สู่ “การใช้งานจริง” ที่ตอบโจทย์การทำงานขององค์กรภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระหว่างภาคอุตสาหกรรมแบบ Cross Industry Collaboration พร้อมยึดหัวหาด 3 อุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการผลิต กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการขับเคลื่อนการเติบโต GDP และระบบเศรษฐกิจประเทศ ตอกย้ำแนวคิดการเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์ในใจองค์กรธุรกิจและผู้ประกอบการที่มุ่งสร้างการเติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน พร้อมส่งเสริม Sustainable Nation หรือการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS อธิบายว่า “เรามุ่งมั่นกับการยกระดับ Intelligence Infrastructure เพื่อให้รองรับการทำงานสำหรับกลุ่มธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร ซึ่งวันนี้เรามีความพร้อมในการวิวัฒน์ภาคอุตสาหกรรมให้สามารถนำดิจิทัลเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของการทำงาน ในการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่เราพร้อมอย่างยิ่งในการส่งมอบบริการดิจิทัลและโซลูชั่นส์ให้กับอุตสาหกรรมการผลิต กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการค้า ซึ่งเป็น Sector สำคัญที่มีส่วนผลักดันการเติบโตของ GDP ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจในภาพรวม”

ธนพงษ์ เสริมต่อไปอีกว่า วันนี้ AIS Business เดินหน้าทำงานภายใต้แนวคิดอีโคซิสเต็ม อีโคโนมี่ หรือ การสร้างเศรษฐกิจแบบร่วมกัน ในด้านของการเชื่อมต่อธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม (Cross Industry Collaboration) ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลก ดังเช่นความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ ที่พร้อมให้บริการไมโครซอฟท์ ทีมโฟน รวมถึงสุดยอดนวัตกรรมเจนเอไอ (genAI) ที่จะมาช่วยยกระดับการทำงานของโลกยุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกับ Microsoft 365 Copilot for Enterprise

รวมไปถึงแพลตฟอร์มและโซลูชั่นส์เพื่อองค์กร ที่เปิดให้บริการแล้ววันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเอไอเอส พารากอน แพลตฟอร์ม (AIS PARAGON Platform) ที่เชื่อมต่อเครือข่าย 5G, Fibre, Edge Computing, Cloud, และ Software Application เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจอุตสาหกรรม และ CPaaS (Communications Platform-as-a-Service) แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทุกการสื่อสารขององค์กรในรูปแบบของ Cloud-based, บริการคลาวด์พีซีสำหรับธุรกิจ (Cloud PC for Business) ที่เป็นการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์บนคลาวด์รูปแบบใหม่ มีความปลอดภัยสูง

ธนพงษ์ ยืนยันถึงความพร้อมในการส่งมอบบริการดิจิทัลและโซลูชั่นส์ให้กับทั้ง 3 อุตสาหกรรมหลักไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการผลิต กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการค้า เพื่อเสริมศักยภาพการทำงาน สร้างความมั่นใจ ตอบโจทย์การเติบโตของลูกค้าอย่างยั่งยืน

นายณรงค์ชัย บัณฑิตวรางกูล บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด ในฐานะดิจิทัลพาร์ทเนอร์ที่นำขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเข้าไปยกระดับการทำงาน กล่าวเสริมว่า “การนำเทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานขององค์กรมีความจำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญ อย่างการนำแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงาน (Energy Platform) มาใช้ในการกระบวนการผลิต สามารถทำให้เราติดตามข้อมูลการใช้พลังงานได้แบบเรียลไทม์ หรือแม้แต่การตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลการผลิตได้ตามความต้องการ เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการผลิต พร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ระดับโลกของโตโยต้าและเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของภูมิภาค”

ในขณะที่ผู้ให้บริการท่าเทียบเรือชั้นนำของท่าเรือแหลมฉบัง อย่าง ฮัทชิสัน พอร์ท โดย นายอาณัติ มัชฌิมา ประธานบริหารงานทั่วไป บริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย (HPT) ก็ให้ข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า “บริษัทได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นความปลอดภัย สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ทั้งการร่วมกันพัฒนา 5G Private Network สำหรับการทำงานของท่าเรือ นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบ Smart Seaport ที่สามารถควบคุมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่การนำรถบรรทุกอัตโนมัติไร้คนขับมาใช้งานในท่าเรือเป็นแห่งแรกของโลก และการให้บริการ Automated Gate ทำให้ลูกค้า รถบรรทุกตู้สินค้าสามารถผ่านเข้าออกท่าด้วยระบบ อัตโนมัติและดำเนินการได้ด้วยตนเอง”

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการค้าที่ 2 ผู้เล่นใหญ่ในตลาดทั้ง เซ็นทรัลพัฒนา และ เดอะมอลล์กรุ๊ป ก็มุ่งสู่การเป็น Smart Retail ด้วยการผสานขุมพลังของดิจิทัลเทคโนโลยีเข้าไปเสริมขีดความสามารถการทำงานในมิติต่างๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งให้กับลูกค้า

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ในฐานะองค์กรที่อยู่คู่กับประเทศไทยมามากกว่า 42 ปี เราให้ความสำคัญความคิดการลงมือทำ ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining Better Futures for All มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์อนาคตที่ดีและยั่งยืนให้กับทุกคน ซึ่ง AIS คือหนึ่งในพันธมิตรหลักที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา โดยร่วมพัฒนาให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล ต่อยอดให้เป็นศูนย์การค้าที่สร้างประสบการณ์แบบล้ำสมัย อาทิ การเปิดตัว Flagship Store แห่งแรก กับหุ่นยนต์อัจฉริยะ AIS 5G ที่เซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงบริการ Smart Mirror ที่มอบประสบการณ์การลองเสื้อผ้าในรูปแบบเสมือนจริงแบบ Virtual Fitting นับเป็นการทำงานร่วมกันที่ตอกย้ำศูนย์การค้าเซ็นทรัล สู่การเป็น Future of Retail ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”

ด้าน เดอะมอลล์กรุ๊ป ทางนายจิรยุทธ์ กาญจนมยูร ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายไอที บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ให้ข้อมูลว่า “ทางเดอะมอลล์ ในฐานะกลุ่มบริษัทค้าปลีกชั้นนำ เรามุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีเข้าสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ พร้อมวางกลยุทธ์พัฒนาบริษัทด้วยการนำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมาเป็นตัวช่วยในการทำงาน ร่วมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มการจำหน่ายสินค้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และร้านค้า โดยที่ผ่านมาเราและ AIS ได้ร่วมนำพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ 5G มาพัฒนาและต่อยอดการให้บริการลูกค้าในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการอินเทอร์เน็ตตามที่ต้องการที่ยืดหยุ่นกับร้านค้า (Fibre to Shop), การให้บริการ 5G, Wifi และบริการให้ข้อมูลการตลาดเพื่อลูกค้า (Marketing Behavior Platform) นอกจากนี้เรายังตั้งเป้านำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งการจะทำให้ศูนย์การค้ามีความทันสมัยได้ตลอดเวลา มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี Digital Partner ที่มี Infrastructure ที่แข็งแรงอย่าง AIS เข้ามาเสริมศักยภาพเพื่อต่อยอดการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้น”

 

นอกจากนี้ ในด้านเครือข่ายภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม อาทิ ผู้บริหารจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.), การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.), ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และสมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย (THAiLOG) ร่วมผนึกกำลังผลักดันให้กลุ่มภาคอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมการผลิต กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการค้านี้ เพื่อสร้างขีดความสามารถใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมเศรษกิจของประเทศและการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

Related posts