“8 ปี แห่งความเสื่อมถอย” “เพื่อไทย เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย”
คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย โดย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ
นางสาว จิราพร สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
“ 8 ปี แห่งความเสื่อมถอย”
“เพื่อไทย เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย”
“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” 8 ปีมีแต่ความเสื่อมถอย จี้ เลิกแก้ตัวมั่ว ทั้งที่เสื่อมทุกด้าน แนะ เลือกเพื่อไทย เพื่ออนาคตสดใสของประเทศไทย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ชนะการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. แบบแลนด์สไลด์ หรือแบบถล่มทลาย ซึ่งก็หวังว่าผลจากการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ชาวกทม. ส่วนใหญ่แสดงชัดเจนว่าไม่เลือกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ จะนำมาสู่การชนะแบบแลนด์สไลด์ให้กับพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้
ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนเบื่อหน่ายกับคำแก้ตัวแบบซ้ำๆ ของพลเอกประยุทธ์ ที่อ้างว่าต้องทำรัฐประหารเข้ามาก็เพราะต้องแก้ไขความวุ่นวายและมาเพื่อให้เกิดความสงบ ทั้งที่คนที่สร้างความวุ่นวายคือคนที่ได้ดิบได้ดีและอยู่รอบตัวพลเอกประยุทธ์ ทั้งนั้นรวมถึงบางคนที่ถูกประชาชนลงโทษให้สอบตกจากผู้ว่ากทม. ครั้งนี้ด้วย
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมาประชาชนทนไม่ไหวและรับไม่ได้แล้วกับความเสื่อมถอยทุกด้านของประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจจะชัดเจนที่สุดเพราะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่แค่วาทกรรม
การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ต่ำเตี้ยมาตลอด 8 ปีทำให้รายได้ของประชาชนหดหาย หนี้สินล้นทะลัก ทั้งหนี้สินประเทศ หนี้สินภาคครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ หนี้เสียธนาคาร ตลอดจนหนี้นอกระบบพากันพุ่งกระฉูด และ ยังไม่แนวโน้มที่จะลดลงได้ คนตกงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายล้านคน อีกทั้งคนจนมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีตลอด 8 ปี จนต้องแจกบัตรคนจนมากขึ้นถึง 20 ล้านใบ
ความสามารถแข่งขันของประเทศลดลง ถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้ากันแล้ว เช่น ลาว กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางราง หลังจากรถไฟความเร็วสูง จีน-ลาวเสร็จ ศูนย์กลางผลิตรถยนต์สมัยใหม่ย้ายไปอินโดนิเซีย ศูนย์กลางผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปอยู่ที่เวียดนาม และไทยกลายเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีสมัยใหม่เพราะไม่มีการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่หรือยูนิคอร์น อีกทั้งความเหลื่อมล้ำของไทยเพิ่มมากขึ้นจนติดอับโลก แล้วรัฐบาลยังปล่อยให้เจ้าสัวผูกขาดควบรวมกิจการ ทั้งการควบรวมแมคโคร-โลตัส และการควบรวม ทรู-ดีแทค รวมถึงการให้คนบางกลุ่มมีอิทธิพลทางธุรกิจพลังงาน ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่ถูกปิดกั้นในการพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอนาคต และการคอรัปชั่นที่พุ่งสูงขนาดองค์การระหว่างประเทศยังจัดอันดับทุจริตของไทยแย่ลง 5 ปีติดกัน จากอันดับ 96 ในปี 2560 มาเป็นอันดับ 110 ในปี 2564
ทางด้านสังคมก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน คนรุ่นใหม่ถูกปิดกั้นทางความคิด ถูกดำเนินคดี และอยากย้ายประเทศเป็นล้านคน ในขณะที่ความเสื่อมถอยทางการเมืองเหมือนย้อนยุค 30 ปี ที่มีสว. 250 คน มาโหวตนายกฯ พรรคการเมืองอ่อนแอมีพรรคเล็กพรรคน้อยมากมายมาต่อรองผลประโยชน์
8 ปีที่ผ่านมาปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากความต้องการที่จะรักษาอำนาจของผู้นำ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ นี่เป็นสาเหตุที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าผู้นำต้องไม่อยู่เกิน 8 ปีจากปัญหานี้ ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ อย่าดันทุรังอีกเลย ประชาชนได้แสดงความต้องการชัดเจนแล้วว่าอยากเปลี่ยนผู้นำ
ขอให้มั่นใจได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมีแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนโดยได้เสนอแนวคิดมาตลอดและขอให้มั่นใจได้ว่า “เพื่อไทย เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย”
“จิราพร” จี้ “ประยุทธ์” จัดเอเปค ส่อเค้าล้มเหลว ชี้ รัฐประหารทำลายนโยบายดีๆ ในขณะที่ พปชร. ไม่ทำตามหาเสียง แนะ มือไม่ถึงควรสละอำนาจ
นางสาวจิราพร สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด และ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหาร มักจะอ้างความสุขของประชาชน แต่กลับทำลายนโยบายดีๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งหากจำกันได้ เมื่อพลเอกประยุทธ์ ทำรัฐประหารเข้ามา พยายามที่จะล้มโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่นโยบายดังกล่าวได้รับรางวัลจากสหประชาชาติ จึงทำให้พลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถเลิกได้ แถมกลับไปเอาหน้าเอาเครดิตที่สหประชาชาติ
นอกจากนี้ยังมีนโยบายแจกแทบเล็ดให้นักเรียนเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานความรู้ทางคอมพิวเตอร์และการเข้าถึงเศรษฐกิจดิจิตอลที่มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบันแต่ก็ถูกยกเลิกจากการเข้ามาของคณะรัฐประหาร อีกทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงซึ่งเห็นได้ชัดว่าประเทศลาวได้ประโยชน์อย่างมากจากโครงการนี้ พลเอกประยุทธ์อยู่มา 8 ปี แต่ระบบคมนาคมขนส่งของไทยโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และใช้งบประมาณเฉลี่ยสูงกว่าสมัยรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอย่างมาก หนี้สาธารณะเพิ่มสูงกว่า 10 ล้านล้านบาทแต่ประเทศไม่ได้พัฒนาเลย
ในขณะเดียวกัน พรรค พปชร. ที่หาเสียงไว้ ทั้งค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท เงินเดือนอาชีวะ 18,000 บาท ปริญญาตรี เดือนละ 20,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 18,000 บาท ข้าวเจ้าตันละ 12,000 บาท มารดาประชารัฐ ฯลฯ กลับไม่ทำเลย ไม่ต่างอะไรกับเพลงเราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน แต่ปาเข้าไป 8 ปีแล้ว
และล่าสุด การที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดหารประชุม APEC ในปลายปีนี้ส่อเค้าจะล้มเหลว เพราะยังไม่ทันไรการประชุมรัฐมนตรีการค้าจาก 21 เขตเศรษฐกิจมีความขัดแย้งสูง กลายเป็นสนามประลองกำลังของมหาอำนาจ ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้ประเทศไทยต้องออกแถลงการณ์เองแก้เก้อ บ่งชี้ถึงศักยภาพที่อ่อนด้อยในการบริหารจัดการการประชุมนานาชาติของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งต่างจากรัฐบาลในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรเลิกพยายามกระเสือกกระสนที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเพื่อได้นั่งเป็นประธานเอเปค หวังจะกอบกู้ภาพลักษณ์ตัวเองคืน แต่ถ้ารู้ตัวว่ามือไม่ถึงก็ควรจะสละอำนาจ และให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้เข้ามาบริหารประเทศแทน
“พชร” จี้ “ประยุทธ์” บริหาร 8 ปี ด้านดิจิตอล และ ด้านพลังงานล้มเหลวหนัก ชี้ ปล่อยให้เกิดการผูกขาดและไม่สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการใหม่ แนะ ดิจิตอล และ พลังงานคืออนาคตของคนรุ่นใหม่และของประเทศ
นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตลอด 8 ปี พลเอกประยุทธ์ ได้ล้มเหลวในการพัฒนาดิจิตอลและด้านพลังงาน ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสอย่างมาก และยังตัดอนาคตของคนรุ่นใหม่ ที่จะพัฒนามาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอนาคตได้
ด้านดิจิตอล พลเอกประยุทธ์ ปล่อยให้มีการควบรวมของผู้ประกอบการรายใหญ่เช่น ทรูและดีแทคที่จะสร้างปัญหาให้กับประชาชนในอนาคต และยังปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนรั่วไหล อีกทั้งยังปล่อยให้มี Digital Harassment มี SMS และ การโทรศัพท์หลอกลวงทำให้ประชาชนโดนหลอกเสียเงินจำนวนมาก และยังไม่มีทิศทางชัดเจนเรื่องเงินดิจิตอล และ สินทรัพย์ดิจิตอล นอกจากนี้ระบบการศึกษาไม่ส่งเสริมให้ผลิตบุคคลการทางดิจิตอลที่สำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ
ด้านพลังงาน การจัดการข้อพิพาทในพื้นที่ที่มีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีปัญหาในการนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมา และอาจจะเป็นปัญหาเหมือนกรณีเหมืองทองคิงส์เกตได้ แนวทางบริหารพลังงานของพลเอกประยุทธ์ ไม่ส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการรายใหญ่ มีแต่รายเดิมๆ อีกทั้งการบริหารจัดการผิดพลาดไม่ได้คำนึงถึงความต้องการใช้พลังงานที่แท้จริงทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่สูงเกินจริง
นี่เป็นเพียงบางปัญหาเท่านั้น ปัญหาทางด้านดิจิตอลและด้านพลังงานยังมีอีกมาก ซึ่งมีเรื่องใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา และอาจจะยากเกินกว่าที่พลเอกประยุทธ์ จะเข้าใจ ซึ่งทำให้ประเทศไทยก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งจะทำให้คนรุ่นใหม่เสียโอกาสอย่างมาก///